โรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน

โรงพยาบาลสัตว์ ที่เริ่มต้นจากคลินิกเล็กๆ ย่านเสาชิงช้า ด้วยความความรู้ความสามารถและการให้บริการรักษาสัตว์อย่างเต็มหัวใจ จึงทำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงไว้วางใจเรื่อยมา และได้ขยายมาเป็นโรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน ณ ปัจจุบัน โดยอาศัย ประสบการณ์กว่า 45 ปี ให้บริการศูนย์แพทย์เฉพาะทาง 24 ชม. และรับส่งต่อเคสสัตว์ป่วยระหว่างสถาบัน ทางเราเปิดรับพันธมิตรส่งต่อสัตว์ป่วยเพื่อมาช่วยเยียวยาต่อจากท่านที่อาจจะยังไม่พร้อมด้านอุปกรณ์

บริการของเรา

ห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชันเป็นห้องผ่าตัดแบบความดันบวก ความสะอาดและมาตรฐานความปลอดภัยผ่านมาตรฐาน

เปิดรักษาพร้อมให้คำแนะนำปรึกษาโรคทางโทรศัพท์ด้วยทีมสัตวแพทย์เฉพาะทาง ตลอด 24 ชั่วโมง

ให้บริการอาบน้ำและตัดแต่งขนสำหรับสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร โดยผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการอบรมและได้รับการรับรองจาก Starwood

เคสส่งต่อสัตว์ป่วย

ศูนย์บริการรับส่งต่อสัตว์ป่วย ระหว่างสถานพยาบาลสัตว์ เราพร้อมรองรับเคส 24 ชม. พร้อมรักษาทั้งโรคทั่วไปและโรคเฉพาะทาง มีบริการรถรับ-ส่ง

ร้านจำหน่ายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงภายในโรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงหลากหลายและครบครัน

คาเฟ่ Pet Friendly บรรยากาศภายในตกแต่งด้วยดอกไม้ ต้นไม้หลากหหลายสีสันที่ลงตัว ให้บรรยากาศแบบสวนดอกไม้

แพ็กเกจและโปรโมชั่น

ทำหมันกระต่าย

แพ็กเกจทำหมันกระต่าย

ทำหมันกระต่าย โดยสัตวแพทย์ โรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน ตรวจเลือดก่อนทำหมันทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพน้องกระต่ายที่เรารัก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 02 887 8321 – 3 กลับไปหน้ารวม Package

อ่านต่อ »
ทำหมันสุนัขและแมว

โปรแกรมทำหมันสุนัขและแมว

แพ็คเกจทำหมันสุนัขและแมว ทำหมันดียังไงบ้าง? 💙 ลดการเกิดโรคทางระบบสืบพันธุ์ 💙 ลดภาวะการเกิดมดลูกอักเสบ💙 ลดอัตราการเกิดเนื้องอกเต้านม 💙 ลดภาวะต่อมลูกหมากโตในตัวผู้ 💙 ลดพฤติกรรมก้าวร้าว การหนีเที่ยว ทำหมันที่โรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชันดีอย่างไร? 💛ดมยาสลบทำโดยวิสัญญีสัตวแพทย์💛ห้องผ่าตัดมาตรฐาน ISO 14644-1 / ISO 14644-3 ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลคน รับรองโดย 𝐈𝐧𝐧𝐨𝐯𝐚𝐭𝐢𝐯𝐞 𝐂𝐨𝐧𝐬𝐮𝐥𝐭𝐚𝐧𝐭 𝐀𝐧𝐝 𝐄𝐧𝐠𝐢𝐧𝐞𝐞𝐫𝐢𝐧𝐠 𝐂𝐨.,𝐋𝐭𝐝.💛มีเครื่องติดตามสัญญาณชีพและคุณหมอดูแลตลอดการผ่าตัด💛อุปกรณ์และเครื่องมือผ่าตัดผ่านกระบวนการ Sterilization ด้วยเครื่องอบฆ่าเชื้อด้วยพลาสม่า และก๊าซไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2 ) ที่อุณหภูมิต่ำ *ราคายังไม่รวมค่าอาหาร หากมีอาหารประจำสามารถนำมาเองได้ระหว่างการฝากเลี้ยง**ราคายังไม่รวม vat…………………….. ****จองทำหมันทัก Inbox หรือ Line @talingchanpet ได้เลยค่ะ  โรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน เปิดตลอด 24 ชั่วโมง 063 951 5591 หรือ 02 887 8321 – 3รวมทุกช่องทางติดตาม รพ.ส.ตลิ่งชัน allmylinks.com/talingchanpet โทรนัดหมาย ทำนัดออนไลน์

อ่านต่อ »

บทความสุขภาพสัตว์เลี้ยง

แฮมสเตอร์ต้องเลี้ยง 1 ตัว = 1 กรง จริงหรอ!

ต้องเลี้ยง 1 ตัว ต่อ 1 กรง จริงหรอ! ต้องเลี้ยง 1 ตัว ต่อ 1 กรง จริงหรอ!              หลายคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงแฮมสเตอร์ มักเกิดคำถามในใจว่า “ควรเลี้ยงแฮมสเตอร์กี่ตัวดี และถ้าเลี้ยงน้องเพียงตัวเดียว น้องจะเหงาหรือเปล่านะ?” จึงตัดสินใจซื้อน้องมาเลี้ยงหลายตัวพร้อมกัน แล้วจับให้อยู่รวมกันในกรงเดียว เพราะคิดว่าจะทำให้น้องมีเพื่อนและมีความสุขมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือความเข้าใจผิดที่อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพและชีวิตของน้องได้เลยทีเดียว เพราะอะไรจึงห้ามเลี้ยงแฮมสเตอร์รวมกัน 1.พฤติกรรมตามธรรมชาติของแฮมสเตอร์ แฮมสเตอร์ไม่เหมือนหนูตะเภาหรือสัตว์ฟันแทะบางชนิด เพราะโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาเป็นสัตว์ที่ หวงถิ่น (Territorial) และ ชอบอยู่ตัวเดียว (Solitary) แต่ละตัวต้องการพื้นที่ส่วนตัวในการกิน เดิน วิ่ง และนอน การบังคับให้อยู่รวมกัน มักจะทำให้เกิดความเครียดและการทะเลาะกัน 2.ความเสี่ยงที่อาจเกิดหากเลี้ยงแฮมสเตอร์รวมกัน การเลี้ยงแฮมสเตอร์รวมกันในกรงเดียว อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ ๆ เช่น แฮมสเตอร์กัดกันจนบาดเจ็บ หรือบางครั้งถึงขั้นเสียชีวิต แย่งอาหารและน้ำ ทำให้บางตัวอ่อนแอหรือขาดสารอาหาร ความเครียดสะสม → ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้น้องป่วยง่ายขึ้น แล้วมีข้อยกเว้นไหม? แฮมสเตอร์ซีเรีย หรือ ไซเรียน (Syrian Hamster) ➝ ต้องเลี้ยงเดี่ยว 100%  แฮมสเตอร์แคระเช่น โรโบรอฟสกี้ , แคมป์เบลล์ ➝ บางครั้งเลี้ยงรวมได้ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงสูง ต้องคอยสังเกตตลอดเวลา แต่เพื่อความปลอดภัย แนะนำให้เลี้ยง 1 กรง : 1 ตัว จะดีที่สุด  ทำไมที่ร้านขายแฮมเตอร์ถึงเลี้ยงรวมกันได้ เพราะแฮมสเตอร์ที่วางขายก่อนที่เราจะไปซื้อมานั้นยังคงเป็นลูกแฮมสเตอร์ที่อายุยังไม่ถึง 1 เดือน และแฮมเตอร์จะเริ่มมีพฤติกรรมหวงถิ่นหลังจากมีอายุเกิน 1 เดือนขึ้นไป วิธีเลี้ยงให้แฮมสเตอร์มีความสุขแม้อยู่ตัวเดียว ไม่ต้องกังวลว่าน้องจะเหงา เพราะโดยธรรมชาติแฮมสเตอร์ไม่ใช่สัตว์สังคมค่ะ แต่เจ้าของสามารถเพิ่มความสุขให้น้องได้ด้วยการ: เลือกกรงที่กว้างพอ มีที่ซ่อนและที่ปีนป่าย จัดของเล่น เช่น ล้อวิ่ง, ท่อ, บ้านเล็ก ๆ ซ่อนอาหารเล็ก ๆ ไว้ให้น้องได้ค้นหาเอง → กระตุ้นสัญชาตญาณตามธรรมชาติ ให้เวลาในการเล่นและปฏิสัมพันธ์กับเจ้าของอย่างสม่ำเสมอ การเลี้ยงแฮมสเตอร์ 1 กรง ต่อ 1 ตัว ไม่ใช่การแยกเขาออกจากเพื่อน  แต่คือการให้พื้นที่ปลอดภัยที่เหมาะสมกับธรรมชาติของเขาจริง ๆ หากเจ้าของท่านใดยังไม่แน่ใจเรื่องการเลี้ยงหรือการจัดกรง สามารถมาปรึกษาคุณหมอที่โรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน ได้เลยนะคะ

อ่านต่อ
ปล่อยให้แมวอ้วน อันตรายกว่าที่คิด

ปล่อยให้แมวอ้วน…อันตรายกว่าที่คิด

 หลายคนอาจคิดว่าแมวอ้วนดูน่ารัก น่าฟัด ตัวกลมๆ ขาสั้นๆ ยิ่งเห็นในโซเชียลแล้วยิ่งรู้สึกว่าน่าเอ็นดู แต่ความจริงแล้ว ความอ้วนนั้นแฝงไปด้วยอันตรายต่อสุขภาพของแมวมากมาย ที่เจ้าของหลายคนอาจมองข้ามไป ทำไมแมวถึงอ้วนได้ง่าย? แมวบ้านส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่จำกัด กิจกรรมก็น้อยกว่าแมวที่อยู่กลางแจ้ง อีกทั้งยังได้รับอาหารสำเร็จรูปที่มีพลังงานสูงและมีรสชาติดี ทำให้กินง่าย กินเพลิน เมื่อกินมากเกินไปแต่ใช้พลังงานน้อย ร่างกายจึงสะสมไขมันและนำไปสู่ภาวะ โรคอ้วน  ความเสี่ยงเมื่อแมวอ้วนเกินไป การปล่อยให้แมวอ้วนไม่ได้แค่ทำให้เดินอุ้ยอ้ายเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคร้ายหลายอย่าง เช่น เบาหวานในแมว (Diabetes Mellitus) แมวอ้วนมีโอกาสเป็นเบาหวานสูง ทำให้ต้องฉีดอินซูลินตลอดชีวิต โรคข้อเสื่อม (Arthritis) น้ำหนักที่มากขึ้นกดทับข้อต่อ ทำให้เจ็บและเดินลำบาก โรคหัวใจและความดันสูง โรคไขมันพอกตับ โรคระบบทางเดินหายใจ ไขมันที่เยอะขึ้นทำให้ความจุในช่องอกลดลง ทำให้หายใจลำบาก มีความเสี่ยงในการผ่าตัดและดมยาสลบมากกว่าปกติ ดูแลแมวให้หุ่นดีอย่างไร? ควบคุมอาหาร : เลือกอาหารสูตรควบคุมน้ำหนักและให้ในปริมาณที่เหมาะสม กระตุ้นให้ขยับตัว : เล่นกับแมวให้มากขึ้น ใช้ของเล่นให้แมววิ่งไล่หรือปีนป่าย หมั่นชั่งน้ำหนัก : เพื่อตรวจเช็กและปรับอาหารตามความเหมาะสม ปรึกษาสัตวแพทย์ : เพื่อวางแผนการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย แมวอ้วนไหม? เช็กยังไงให้รู้ชัด แมวบางตัวดูตัวใหญ่แต่จริง ๆ ไม่ได้อ้วน หรือบางตัวดูขนฟูแต่มีไขมันแอบซ่อนอยู่ การประเมินว่าแมวอ้วนหรือไม่ ไม่ควรดูแค่ด้วยตา ต้องใช้การสังเกตร่วมด้วย คลำแล้วไม่เจอกระดูกซี่โครงเลย = มีไขมันชั้นหนาปกคลุม มองจากด้านบนแล้วไม่มีเอวเว้าเลย = ตัวกลมเหมือนถัง น้ำหนักเกินจากค่ามาตรฐานสายพันธุ์ มากกว่า 15–20% หากไม่แน่ใจ ลองให้สัตวแพทย์ช่วยประเมิน Body Condition Score (BCS) ซึ่งเป็นวิธีประเมินภาวะโภชนาการแมวแบบมาตรฐาน แมวที่อ้วนเกินไปแม้จะดูน่ารักในสายตาเรา แต่จริงๆ แล้วเขากำลังเสี่ยงต่อโรคร้ายและคุณภาพชีวิตที่แย่ลงอย่างมาก เจ้าของควรดูแลเรื่องอาหารและการออกกำลังกายของแมวให้สมดุล เพื่อให้เขาอยู่กับเราไปนานๆ อย่างมีความสุขและสุขภาพดี แหล่งอ้างอิงhttps://www.petobesityprevention.org https://www.drzkin.com/blog/obesity-is-more-dangerous-than-you-think/ https://beyondpets.com/pet-health-plus/obesity-in-cats/

อ่านต่อ

5 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับกระต่าย ที่หลายคนอาจ ’เอ๊ะ’!

  หลายคนคิดว่าการเลี้ยงกระต่ายเป็นเรื่องง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับมีหลายเรื่องเลยที่คนเข้าใจผิดกันเกี่ยวกับกระต่าย ทำให้คนดูแลกระต่ายหลายคนอาจดูแลน้องผิดวิธี กระต่ายอาจดูเป็นสัตว์เลี้ยงที่เรียบร้อย ไม่ซน ไม่เสียงดัง แต่เบื้องหลังความน่ารักนั้นคือการดูแลอย่างถูกวิธีในเรื่องอาหาร สุขภาพ และ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจใหม่กันกับเรื่องเข้าใจผิดต่างๆเกี่ยวกับกระต่ายที่หลายคนอาจเผลอเชื่อไปแบบไม่รู้ตัว 1.อาหารหลัก ❌Myth: กระต่ายกินแครอทเป็นอาหารหลัก✅Fact: กระต่ายควรกินหญ้าแห้งเป็นหลัก 70-80%  หญ้าแห้ง เช่น หญ้าทิโมธี หรือหญ้าอัลฟัลฟ่า (สำหรับลูกกระต่าย) มีความสำคัญมากต่อระบบย่อยอาหารของกระต่าย ช่วยให้ฟันของกระต่ายที่งอกยาวได้สึกตามธรรมชาติ และป้องกันปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น ภาวะลำไส้อืด ส่วนแครอทและผักอื่นๆ เป็นเพียงอาหารเสริมในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากมีน้ำตาลสูง หากกินเยอะเกินไปอาจทำให้น้องท้องอืด ท้องเสีย หรือรุนแรงถึงภาวะลำไส้อืดเลยก็เป็นได้ 2.การอาบน้ำ ❌Myth: กระต่ายอาบน้ำได้✅Fact: หากไม่มีความจำเป็น หรือไม่ใช่คำแนะนำของสัตวแพทย์ หลีกเลี่ยงการอาบน้ำจะดีกว่า    การอาบน้ำอาจทำให้กระต่ายเครียดและตกใจอย่างรุนแรงจนนำไปสู่การบาดเจ็บในขณะที่อาบน้ำได้ นอกจากนี้ขนที่หนาแน่นของกระต่ายเมื่อเปียกน้ำจะแห้งยากมาก และจับตัวเป็นก้อน กว่าจะทำให้กลับมาแห้งสนิทใช้เวลานานเป็นหลักชั่วโมง อาจเสี่ยงต่อภาวะตัวเย็นจนเกินไป (Hypothermia) และการติดเชื้อที่ผิวหนังและปอดได้ เพราะฉะนั้นการทำความสะอาดกระต่ายควรใช้วิธีเช็ดตัวด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ หรืออาบน้ำด้วยแชมพูอาบน้ำแห้งเฉพาะจุดที่สกปรกเท่านั้น 3.การเข้าสังคม ❌Myth: กระต่ายเป็นสัตว์โดดเดี่ยว✅Fact: กระต่ายเป็นสัตว์สังคม เหมาะที่จะเลี้ยงหลายตัว   ตามธรรมชาติแล้ว กระต่ายเป็นสัตว์สังคมที่อยู่รวมกันเป็นฝูง การมีเพื่อนกระต่ายจะช่วยลดความเครียด ความเบื่อหน่ายซึ่งกันและกันได้และส่งเสริมพฤติกรรมตามธรรมชาติ ทำให้กระต่ายมีสุขภาพจิตที่ดีและมีความสุขมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การนำกระต่ายตัวใหม่มาอยู่ร่วมกับตัวอื่นๆ จำเป็นต้องมีการทำความรู้จักที่ค่อยเป็นค่อยไป 4.การตรวจสุขภาพ ❌Myth: กระต่ายไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพ✅Fact: กระต่ายเสี่ยงโรคฟันยาวผิดปกติ, พยาธิในหู, ท้องอืด ควรตรวจทุก 6-12 เดือน  กระต่ายเป็นสัตว์ที่ซ่อนอาการได้เก่ง เพราะฉะนั้นการตรวจสุขภาพประจำปี (หรือทุกๆ 6 เดือนสำหรับกระต่ายสูงวัย) โดยสัตวแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านสัตว์พิเศษ (Exotic Pets) จึงมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะเราสามารถตรวจพบปัญหาสุขภาพที่น้องอาจเป็นได้ เช่น โรคฟันยาวผิดปกติ, การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ, และปัญหาในระบบย่อยอาหาร ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อที่จะรักษาได้ทันท่วงทีก่อนที่อาการจะรุนแรงขึ้น 5.ความอ้วน ❌Myth: กระต่ายอ้วน = สุขภาพดี✅Fact: อ้วน = เสี่ยงข้อเสื่อม, เบาหวาน, ระบบย่อยแย่  ภาวะน้ำหนักเกินในกระต่ายอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงหลายอย่างได้ เช่น โรคข้ออักเสบ, โรคหัวใจและหลอดเลือด, หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะตับไขมัน (Hepatic Lipidosis) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตน้องได้ นอกจากนี้กระต่ายที่อ้วนเกินไปจะไม่สามารถทำความสะอาดตัวเองและกินมูลอ่อนของตัวเองได้ (Cecotropes) ซึ่งเป็นสารอาหารที่กระต่ายจำเป็นต้องกินเพื่อที่จะดูดสารอาหารที่สำคัญเข้าไป เพราะถ้าน้องไม่ได้กิน จะส่งผลเสียต่อระบบย่อยอาหารและสุขภาพโดยรวมได้   การเลี้ยงกระต่ายให้มีสุขภาพดีและมีความสุข ไม่ได้ยากเกินไป…แค่ต้องเริ่มจากความเข้าใจที่ถูกต้อง หากคุณเป็นเจ้าของกระต่ายมือใหม่ หรือเป็นเจ้าของเลี้ยงมานานแต่ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการดูแลที่เหมาะสม รวมถึงสัตว์ exotic ชนิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร

อ่านต่อ
นอกจากคนแล้ว สัตว์ก็สามารถบริจาคร่างกายเพื่อเป็น “อาจารย์ใหญ่” ให้กับนักศึกษาสัตวแพทย์ได้เหมือนกัน เพื่อใช้ในการเรียนรู้โครงสร้างร่างกายจริง ๆ และช่วยพัฒนาการรักษาสำหรับสัตว์อื่น ๆ ในอนาคต

สัตว์เลี้ยงของเราก็สามารถบริจาคร่างกายเพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่ได้

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า…นอกจากคนแล้ว สัตว์เลี้ยงก็สามารถบริจาคร่างกายเพื่อเป็น “อาจารย์ใหญ่” ให้กับนักศึกษาสัตวแพทย์ได้เหมือนกัน เพื่อใช้ในการเรียนรู้โครงสร้างร่างกายจริงๆ และช่วยพัฒนาการรักษาสำหรับสัตว์อื่นๆในอนาคต

อ่านต่อ
ภาวะอัณฑะทองแดง คืออาการผิดปกติของอัณฑะที่ไม่เคลื่อนตัวลงมาในถุงอัณฑะ

ภาวะอัณฑะทองแดงในสัตว์เลี้ยงอันตรายแค่ไหน

  ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับภาวะอัณฑะทองแดงกันก่อนว่าคืออะไร อัณฑะทองแดงคือ ภาวะอาการผิดปกติของอัณฑะที่ไม่เคลื่อนตัวลงมาในถุงอัณฑะ สามารถเกิดขึ้นข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง ทำให้ค้างอยู่บริเวณขาหนีบหรือช่องท้อง ซึ่งพบได้ในทั้งหมา สุนัข และแมวตัวผู้ สายพันธุ์สุนัขที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นภาวะอัณฑะทองแดง ได้แก่ ชิวาว่า               ปอมเมอเรเนียน         พุดเดิ้ล ยอร์คเชียร์ เทอร์เรียร์ ชเนาเซอร์ สายพันธุ์แมวที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นภาวะอัณฑะทองแดง ได้แก่ เปอร์เซีย แร็กดอลล์ สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะอัณฑะทองแดง   เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ส่งต่อยีนด้อยลงมาสู่รุ่นลูก ซึ่งเราสามารถสังเกตความผิดปกตินี้ได้ชัดเจนตอนอายุของน้องครบ 1 ปี วิธีสังเกตภาวะทองแดงสำหรับสุนัข   สุนัขจะมีลูกอัณฑะในถุงอัณฑะได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือนเป็นต้นไป โดยส่วนใหญ่ลูกอัณฑะจะลงมาครบในถุงอัณฑะตอนอายุ 6 เดือน ซึ่งหากอายุของน้องเกิน 1 ปีหรือโตเต็มวัยแล้วลูกอัณฑะยังลงมาไม่ครบ แสดงว่าน้องมีภาวะอัณฑะทองแดงนั่นเอง วิธีสังเกตภาวะทองแดงสำหรับแมว   แมวจะมีลูกอัณฑะได้ตั้งแต่ 6 สัปดาห์เป็นต้นไป โดยส่วนใหญ่ลูกอัณฑะจะลงมาครบในถุงอัณฑะตอนอายุ 2 เดือน ซึ่งหากอายุของน้องเกิน 6 เดือนหรือเต็มวัยแล้วลูกอัณฑะยังลงมาไม่ครบ แสดงว่าน้องมีภาวะอัณฑะทองแดงเหมือนกัน *ภาวะอัณฑะทองแดงไม่มีผลกับฮอร์โมนสัตว์ เพราะฉะนั้นจะยังมีแสดงพฤติกรรมทางเพศได้ตามปกติ ภาวะอัณฑะทองแดง อันตรายไหม   หากลูกอัณฑะไม่ลงถุง น้องหมา น้องแมวมีสิทธิ์ที่จะเป็นเนื้องอกหรือมะเร็งอัณฑะได้มากกว่าสัตว์ที่มีอัณฑะอยู่ในถุงหลายเท่า เพราะอุณหภูมิในร่างกายสูงกว่าในถุงอัณฑะ ทำให้เซลล์อัณฑะทำงานผิดปกติ กระตุ้นให้เกิดเป็นเนื้องอกหรือมะเร็งนั่นเอง ภาวะอัณฑะทองแดงรักษายังไง   “การผ่าตัดทำหมัน” คือวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งอัณฑะในน้องหมาน้องแมวได้ ถึงแม้สัตว์บางตัวจะเป็นข้างเดียวก็ตาม ก็จำเป็นจะต้องผ่าตัดออกทั้งสองข้าง เพราะหากปล่อยไว้นานจะทำให้การผ่าตัดยากยิ่งขึ้น ในกรณีที่อัณฑะตกอยู่ในช่องท้องคุณหมอจะทำการอัลตร้าซาวด์ก่อนการผ่าตัด เพื่อกำหนดตำแหน่งที่ชัดเจน นอกจากการผ่าตัดทำหมันจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งแล้วนั้น ยังช่วยลดการส่งต่อยีนด้อยผ่านทางพันธุกรรมให้กับรุ่นลูกหลานได้อีกด้วย      “อย่างไรก็ตามการผ่าตัดทำหมันควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของสัตวแพทย์ เพราะสภาพร่างกายของน้องหมาและแมวแต่ละตัวนั้นแตกต่างกัน”    หากเจ้าของสงสัยว่าน้องๆของเจ้าของมีลูกอัณฑะในถุงครบไหม สามารถพามาพบคุณหมอเพื่อตรวจสอบดูได้เพื่อที่จะรักษาได้ทันท่วงทีหากพบว่าน้องมีอัณฑะไม่ครบทั้งสองข้าง   หากเจ้าของสนใจให้น้องหมาหรือแมวทำหมันสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์ตรงนี้ได้เลย  https://www.talingchanpet.net/package-dog-cat/ References: https://www.researchgate.net/publication/10771216_Incidence_of_cryptorchidism_in_dogs_and_cats https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/1351479/ https://pangovet.com/ask-the-vet/cats/retained-testicles-cryptorchidism-in-cats/ https://www.msdvetmanual.com/reproductive-system/congenital-and-inherited-anomalies-of-the-reproductive-system/male-genital-abnormalities-of-animals

อ่านต่อ

5วิธีคลายความร้อนฉบับแมวเหมียว

แมว เป็นสัตว์ที่สามารถทนต่ออากาศร้อนได้ดีพอสมควร เพราะมีต้นกำเนิดอยู่ในทะเลทราย แต่แมวก็ยังต้องมีวิธีระบายความร้อนเพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายให้สมดุลเมื่ออากาศร้อนจัดเช่นกัน ซึ่งจะมีวิธีไหนบ้างมาดูกัน 5 วิธีคลายความร้อนฉบับแมวเหมียว 1.การเลียขน (Cleaning) แมวจะเลียขนเพื่อทำให้ขนตัวเองเปียก ซึ่งน้ำลายที่น้องเลียจะระเหยออกไปและช่วยลดอุณหภูมิร่างกายคล้ายกับเหงื่อในมนุษย์ 2.การหายใจถี่ (Panting) แมวจะเริ่มหายใจถี่หรืออ้าปากหอบเมื่อรู้สึกร้อนมาก ซึ่งเป็นกลไกช่วยระบายความร้อนผ่านลมหายใจ แต่หากแมวหอบหนักเกินไป อาจเป็นสัญญาณของภาวะฮีทสโตรก (Heat Stroke) ที่อันตรายได้ 3.การยืดตัวและหาที่เย็น (Stretching and Finding cold place )  แมวจะยืดตัวออกเพื่อเพิ่มพื้นที่สัมผัสกับอากาศ และจะหาที่เย็น เช่น พื้นกระเบื้อง เงาร่ม หรือใกล้พัดลมเพื่อช่วยระบายความร้อน 4.การลดกิจกรรม (less activities) น้องแมวมักจะนอนนิ่งๆ และลดการเคลื่อนไหวของร่างกายในช่วงอากาศร้อนเพื่อลดการสร้างความร้อนในร่างกาย 5.การขยายหลอดเลือดที่ใบหูและอุ้งเท้า (Vasodilation in the ears and paw pads) แมวมีเส้นเลือดที่สามารถขยายตัวได้ที่ใบหูและอุ้งเท้า เมื่อร่างกายร้อนขึ้น เลือดจะไหลเวียนมาบริเวณนี้มากขึ้นเพื่อช่วยระบายความร้อนออก ข้อควรระวังในช่วงอากาศร้อน หากแมวมีอาการหอบหนัก น้ำลายเหนียว ซึม หรืออาเจียน อาจเสี่ยงต่อโรคลมแดดได้ (Heat Stroke) ควรรีบทำให้เย็นลงทันที เช่น ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆซับตัว และพาไปพบสัตวแพทย์โดยทันที เขียนบทความ โดย สพ.ญ.กุญชรี ประกาลัง (หมอกุ๊กไก่) โรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน แหล่งอ้างอิง Buffington, C. A. (2008). “Cat Thermoregulation Mechanisms.” Journal of Feline Medicine & Surgery. Little, S. (2012). The Cat: Clinical Medicine and Management. Elsevier

อ่านต่อ
thไทย