เหล่าทาสแมวทั้งหลาย ที่เลี้ยงแมวด้วยความรักแบบคลั่งรักสุดๆ แต่อยู่ๆแมวสุดที่รักของคุณเกิดตั้งท้อง และเมื่อถึงกำหนดคลอดลูกออกมา กลับไม่ยอมเลี้ยงลูกของตน !!! ตามสัญชาตญาณของความเป็นแม่เสียอย่างนั้น พ่อแม่มือใหม่อย่างพวกเรา จึงจำเป็นต้องรับหน้าที่แทน “แมวสุดที่รัก” นั้นเอง หรืออีกช่วงจังหวะชีวิตท่านได้มีโอกาสได้รับเลี้ยงลูกแมวแรกเกิดที่พึ่งคลอดลูกและถูกแมาแมวทอดทิ้ง จึงทำให้สงสัยและหาวิธีเลี้ยง “ลูกแมว” ตามที่ต่างๆอยู่ วันนี้มีวิธีเบื้องต้นมานำเสนอค่ะ เราไปเรียนรู้พร้อมๆกันเลยดีกว่า
สาเหตุที่แมวไม่เลี้ยงลูก คืออะไร
1. หนีออกจากที่อยู่เดิม
หลายครั้งที่เราพบลูกแมวแรกเกิดเป็นครอกอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ภายนอกสถานที่ทำให้หลายคนคิดว่าลูกแมวเหล่านี้ถูกทอดทิ้ง แต่ความจริงแล้วแม่แมวอาจจะอยู่ใกล้ๆ หรืออาจจะกำลังออกหาอาหาร หากสังเกตดูแล้วว่าลูกแมวได้รับอาหารอย่างเพียงพอ และอยู่ในสถานที่ปลอดภัย แสดงว่าแม่แมวก็อาจจะอยู่ใกล้ๆ สิ่งที่ควรทำคือควรเฝ้าสังเกตสัก 2-3 ชั่วโมงเพื่อดูว่าแม่แมวกลับมาหรือไม่ หากไม่กลับมาเป็นไปได้ว่า แม่แมวอาจจะป่วยหรือประสบปัญหาร้ายแรงที่สุด คือ อาจถูกฆ่าตาย ทำให้ไม่สามารถกลับมายังที่อยู่ของมันได้ นอกจากนี้ลูกแมวยังสามารถเดินซนออกไปและทำให้หลงทางหรืออาจติดอยู่ในสถานที่ต่างๆที่แม่แมวไม่สามารถเข้าไปหาได้
2. ความเจ็บป่วยหรือความผิดปกติ
แม่แมวอาจปฏิเสธลูกแมวที่มีรูปร่างผิดปกติ เช่น แมว “เจนัส” (แมวสองหน้า) แม้ว่าลูกแมวจะมีสุขภาพดีสมบูรณ์ก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กำจัดลูกแมวที่ถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงออกจากครอก เพื่อที่แม่แมวจะได้ไม่ปฏิเสธลูกแมวตัวอื่นในครอกด้วย
3. เต้านมอักเสบ
แม่แมวที่เป็นแม่ลูกอ่อนบางตัวอาจเกิดภาวะเต้านมอักเสบ ซึ่งเป็นการติดเชื้อที่ต่อมน้ำนม โดยจะมีอาการหัวนมบวม แข็ง และร้อนเมื่อสัมผัส ดังนั้น อาจดูเหมือนแม่กำลังปฏิเสธลูกของเธออยู่แต่จริงๆแล้ว เกิดจากความเจ็บปวดที่เต้านมนั้นเอง
4. ขนาดครอกหรือลูกแมวที่มีจำนวนเยอะ
ครอกหรือลูกแมวที่มีจำนวนเยอะเกินไปอาจทำให้ถูกปฏิเสธการเลี้ยงได้เช่นกัน เนื่องด้วยแม่แมวบางตัวมีน้ำนมไม่เพียงพอสำหรับลูกแมวทุกตัว
5. การคลอดก่อนกำหนด
แม่แมวที่อายุน้อยหรือเป็นท้องสาวอาจยังไม่มีสัญชาตญาณความเป็นแม่ หรืออาจรู้สึกบอบช้ำทางจิตใจในระหว่างการคลอด เช่น ไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยหรือมีปัญหาทางร่างกายระหว่างการคลอด หรือความกังวลใจอาจทำให้ยากต่อการที่จะมีสบายใจในการเลี้ยงลูกๆนั่นเอง
เตรียมตัวอย่างไร เมื่อต้องกลายเป็นแม่แมวจำเป็น?
1. สถานที่เลี้ยงลูกแมว
สถานที่ที่ใช้เลี้ยงลูกแมวแรกเกิดควรจะสะอาด มีการใช้ผ้าปู หรือแผ่นรองซับรองบริเวณที่นอนเพื่อให้ง่ายต่อการทำความสะอาด
2. ทำให้พวกเขาอบอุ่น
สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงในการดูแลลูกแมวแรกเกิด คุณต้องอย่าลืมทำให้ลูกแมวอบอุ่นอยู่เสมอ คุณสามารถตรวจสอบได้ว่าบรรดาลูกแมวหนาวแค่ไหน โดยการสัมผัสอุ้งเท้าหรือปลายหู และคุณสามารถทำให้ลูกแมวอบอุ่นได้ด้วยการห่อขวดน้ำร้อนด้วยผ้าขนหนูแล้วปล่อยให้ลูกแมวแนบไปกับมัน หรือเตรียมโคมไฟส่องให้ความอบอุ่นโดยทำต่อเนื่องไป 2-3 สัปดาห์
3. การให้อาหารลูกแมวแรกเกิด
ลูกแมวที่ถูกแม่แมวทิ้งหรือปฏิเสธการเลี้ยง จะไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอจากการกินนมแม่แมว ดังนั้นเราจึงต้องคิดหาทางเลือกอื่น โดยแนะนำให้รับคำปรึกษาจากสัตวแพทย์เพื่อเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม หากเป็นไปได้ คุณจะต้องมีผลิตภัณฑ์ทดแทนนมและและอุปกรณ์ที่เหมาะสม เช่น หลอดฉีดยา และนิสัยการกินอาหารของลูกแมวแรกคลอดจะกินนมแม่ทุก 1-2 ชั่วโมง และจะมีนิสัยเปลี่ยนไปในทุกๆสัปดาห์
4. การให้ความช่วยเหลือลูกแมวแรกคลอด
ลูกแมวแรกเกิดไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ตามธรรมชาติและต้องการความช่วยเหลือ แม่แมวมีส่วนทำให้ระบบการให้อาหารของพวกมันทำงานปกติ พวกเขาเลียท้องและบริเวณทวารหนักของลูกแมวเพื่อกระตุ้นการถ่ายอุจจาระ หากลูกแมวของคุณไม่มีแม่ คุณจะต้องทำหน้าที่ดูแลลูกแมวแรกเกิดในส่วนนี้แทน สิ่งที่คุณต้องมีคือผ้าเช็ดตัวเปียกเล็กน้อยซึ่งใช้แทนลิ้นของแม่แมวได้ดี นวดบริเวณทวารหนักและอวัยวะเพศจนกว่าลูกแมวจะขับถ่ายหรือปัสสาวะ เมื่อลูกแมวอายุมากพอ (เช่น อายุประมาณ 4 สัปดาห์) คุณก็จะสามารถเริ่มฝึกลูกแมวให้ขับถ่ายเป็นที่เป็นทางได้
5. คุณสามารถอุ้มลูกแมวแรกเกิดได้หรือไม่?
โดยปกติคุณสามารถจับลูกแมวได้โดยการสวมถุงมือหากลูกแมวอายุต่ำกว่าสองสัปดาห์ ลูกแมวที่อายุน้อยมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและโรคต่างๆ และคุณอาจทำร้ายลูกแมวได้โดยการอุ้มลูกแมวเร็วเกินไป เมื่อพวกมันมีอายุได้สองสัปดาห์แล้ว จึงคอยสอนและแนะนำให้ลูกแมวรู้จักกับมนุษย์และการสัมผัส (สัปดาห์ที่ 2-7 เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการเข้าสังคม)
6. วิธีอุ้มลูกแมวแรกเกิด
เมื่อเลี้ยงลูกแมวแรกเกิด ให้ใช้มือทั้งสองข้าง จับพวกเขาไว้จากหน้าอกและใต้ขาหลังเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการรองรับอย่างเต็มที่ ถ้าพวกมันดิ้นก็อย่าวางพวกมันลง สิ่งนี้สอนพวกเขาว่าการดิ้นหมายความว่าพวกเขาจะถูกปล่อย ให้ปลอบพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนของคุณจนกว่าพวกเขาจะสงบลง